ชื่อเรื่อง การรับรู้เรื่องภาวะแทรกซ้อน
การดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน
ขึ้นทะเบียนรับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลข้าวสาร
อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ผู้วิจัย นางสาวนภาพร หล้าทุม
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้เรื่องภาวะแทรกซ้อน
การรับรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวานขึ้นทะเบียนรับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลข้าวสาร อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
รับรู้เรื่องภาวะแทรกซ้อนและการรับรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตนเองต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน
เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive study) โดยสัมภาษณ์ผู้ป่วยเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนรับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลข้าวสาร อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 143 ราย
สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และ
Chi - square
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 68.58
อายุ
ระหว่าง 40 – 60 ปี ร้อยละ 48.95 อายุต่ำสุด 36 ปี อายุมากที่สุด 88 ปี สมรสคู่ ร้อยละ 71.33
รองลงมา คือหม้าย ร้อยละ 19.58 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 82.51 มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 55.24 ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ย
น้อยกว่า 5,000 ร้อยละ80.42 มีระยะเวลาป่วยด้วยโรคเบาหวาน
5-10 ปี ร้อยละ 64.33 ผู้ป่วยเบาหวานดูแลตนเองร้อยละ 66.43 มีภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน ร้อยละ 79.72 โรคแทรกซ้อนที่พบ
ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 71.33 รองลงมาคือ ชาตามปลายมือ
ปลายเท้า ร้อยละ 44.06 การรักษารับประทานยามากกว่า 1 ชนิด ร้อยละ 79.72 ไม่สูบบุหรี่ร้อยละ 86.71
ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 90.21 และไม่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มผสมน้ำตาล ร้อยละ 78.32 จากผลการศึกษาการรับรู้ภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวานโดยรวมอยู่ในระดับสูงเมื่อแยกรายด้านพบว่า
การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน
การรับรู้ความรุนแรงของโรคต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน การรับรู้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
อยู่ในระดับสูง และการรับรู้อุปสรรคต่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนอยู่ในระดับปานกลาง พบว่ามีการดูแลสุขภาพตนเองโดยรวมอยู่ในระดับสูง
เมื่อแยกรายด้านเป็นดังนี้ ด้านรับประทานอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการรับประทานยา
ด้านการดูแลเท้า ด้านการดูแลสุขภาพทั่วไปอยู่ในระดับสูง ด้านที่มีการดูแลสุขภาพตนเองในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนระดับสูงสุดคือ
ด้านการรับประทานยา ด้านความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เรื่องภาวะแทรกซ้อนกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวาน
ในด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้ถึงประโยชน์ และ
การรับรู้อุปสรรคไม่มีความสัมพันธ์กัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ส่วนการรับรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตนเอง ด้านการดูแลสุขภาพเท้า ด้านการออกกำลังกาย
ด้านการดูแลเท้า ด้านการรับประทานยา ด้านการดูแลสุขภาพทั่วไปกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานไม่มีความสัมพันธ์กันที่ระดับนัยสำคัญ
0.05
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเกิดภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ภาวะแทรกซ้อน
และการรับรู้เรื่องการดูแลสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น
พฤติกรรม ความเชื่อของสังคม และบริบทด้านอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
และในด้านการรับรู้อุปสรรคของผู้ป่วยเบาหวานอยู่ในระดับปานกลาง ควรให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องมีการจัดให้สุขศึกษา
ออกเยี่ยมบ้านและให้คำแนะนำเรื่องการบริโภคอาหารอย่างใกล้ชิด แนะนำเรื่องที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
เช่น เรื่องการรับประทานข้าวเหนียว การไม่ออกกำลังกาย การรู้สึกเหมือนถูกบังคับเมื่อรับประทานอาหารให้ตรงเวลา
การไม่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
การไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อยา การสูบบุหรี่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ
ลดภาวะแทรกซ้อน และลดอุปสรรคต่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น